Thursday, December 13, 2012

Cloud Atlas เหล่าโลหิตเมฆา..ผู้สัญจร

ภาพจาก www.randomhouse.com
[แม้หนังจะสร้างจากบทประพันธ์ที่อ้างอิงปรัชญาของศาสนาพุทธ นิกายมหายาน (ที่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิด) แต่นี่คือหนังจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ "ฮอลลีวู้ด" (Hollywood) จึงยังใช้วิธีการนำเสนอทางศิลปะตามหลักคริสตศิลป์ (ทฤษฎีสี-รูปร่าง-รูปทรง แบบตะวันตกที่เรียน ๆ กันอยู่ในสถาบันการศึกษาทั่วโลกนั่นเอง แต่จะมีนัยยะทางศาสนาคริสต์และปรัชญาเข้ามาด้วย ซึ่งส่วนใหญ่มีพื้นมาจากปรัชญาเฮอร์เมติค) ผสมผสานกับสัญลักษณ์ทั่วไปของพุทธศาสนานิกายมหายาน ซึ่งชาวตะวันตกส่วนใหญ่รู้จัก เพื่อให้หนังมีระบบสัญลักษณ์และองค์ประกอบศิลป์ที่เป็นสากลแก่ผู้ชมในวงกว้าง ..นั่นเอง]


ภาพจาก astronomyonline.org
"เมฆ" เป็นสถานะหนึ่งของน้ำ ตามวัฏจักรของน้ำในธรรมชาติ ..ในทางปรัชญาและศิลปะ น้ำมักถูกใช้เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงธรรมชาติที่ผันแปรได้ของสรรพสิ่ง โดยที่ยังมีใจความดั้งเดิมเป็นสิ่งเดียวกัน

น้ำและสีฟ้า เป็นสัญลักษณ์ทั่วไปของความสุขและกาลเวลาในงานศิลปะแบบยุโรปชิ้นต่าง ๆ ..กล่าวถึงว่า..น้ำมีคุณสมบัติในตัวเอง ที่จะเปลี่ยนแปลงรูปร่าง รูปทรงไปตามภาชนะที่รองรับน้ำนั้นในแต่ละขณะ หรือเปลี่ยนได้กระทั่งสถานะ (เป็นของแข็ง ของเหลว ก๊าซ พลังงาน).. ซึ่งแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่สุดอย่าง "มหาสมุทร" มีแหล่งอ้างอิงไปถึง "โลก" ..ว่าเป็นดังภาชนะ         ภาชนะที่มีน้ำ มีความหมายถึงความสุขสมบูรณ์ทางชีวิต อยู่ในห้วงการคิดคำนึง (สมาธิ) การไตร่ตรอง ซึ่งสภาวะจิตใจลักษณะนี้เท่ากับว่ากำลังควบคุมเวลาให้อยู่ในกรอบของตัวเอง (ภาพที่มีกิริยาการเทน้ำจากภาชนะหนึ่ง ไปสู่อีกภาชนะหนึ่ง มักมีความหมายถึงการชั่งใจและใช้เหตุผล)

ในภาพยนตร์ Cloud Atlas.. น้ำถูกใช้เป็นเครื่องสะท้อนถึง -ของเหลว- อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญกว่านั้น อันเป็นสิ่งที่เชื่อมโยง (connect) มนุษย์ทุกผู้ ทุกนาม ทุกกรอบเวลา..เข้าด้วยกัน ในแบบที่ไม่มีใครหลบเลี่ยงปิดบังความจริงหรือสัจจธรรมที่ของเหลวชนิดนี้บรรจุข้อมูลอยู่พ้น. นั่นคือ

ภาพจาก tumblr.com
"โลหิต".
และร่างกายมนุษย์ก็ย่อมจะเป็น "ภาชนะ" ของโลหิตไปคู่กัน
ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปรรูปร่างภาชนะไปอย่างไรก็ตาม
..กี่ยุคสมัย ..กี่ชาติ-ภพตามกำลังกิเลสตัณหาก็ตามแต่
แต่ที่ภาชนะเหล่านั้นยังต้องบรรจุ ต้องรองรับ-แบกรับไปตลอดกาลก็คือ "โลหิต".

..และดวงวิญญาณก็คือ -เมฆาที่สัญจรไปไม่จบสิ้น-
("เมฆาสัญจร" คือชื่อของนิยายฉบับแปลภาษาไทยของภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ)


ภาพจาก www.seas.gwu.edu
การเดินทางของสายเผ่าพันธุ์มนุษย์ (เลือดและ/หรือจีโนม, Genome) ..ในยุค 'Neo Seoul' (ซอนมี 451) ถูกใช้นำเสนอประเด็นนี้ชัดเจนที่สุด ผ่านรูปลักษณ์หน้าตาของประชากรแห่งยุคที่ชัดเจนด้วยลักษณะแบบชาวยุโรป (คอเคซอยด์) ผสมเอเชีย (มองโกลอยด์) จุดนี้เด่นกว่าเส้นเรื่องในยุคสมัยอื่น (ภพ-ชาติอื่น ๆ) อีกทั้งยังเป็นยุคที่กำเนิดซอนมีที่จะขึ้นมามีสถานะเทพเจ้าในยุคถัดไปอีกด้วย ซึ่งเมื่อรวมทุกส่วนของหนังเข้าด้วยกันแล้ว ทำให้หนังมีบรรยากาศของมนุษยนิยม (Humanism) อยู่ชัดเจน

มีการนำเสนอภาพบริบทของทาสและยุคการล่าอาณานิคม ..ในคำสอนของศาสนาส่วนใหญ่ มักชี้ประเด็นว่า มนุษย์เรานั้นตกเป็นทาสกิเลสตัณหาของตัวเราเอง ดวงวิญญาณเรากลายเป็นอาหารของอัตตาอันมิจบสิ้น ..ซึ่งในหนังนั้น บริบทของทาสปรากฏอยู่หลากหลายสถานะด้วยกัน ทั้งทาสจริง ๆ ในยุคล่าและค้าทาส, การเป็นลูกจ้างในยุคสมัยใหม่ กการเสียเงินเข้าไปเป็นทาสในนามสมาชิกหรือลูกค้า (การเข้าไปซื้อสินค้าหรือซื้อหาหาบริการต่าง ๆ นั้นเปรียบได้กับการสมัครใช้ไปทำตามเงื่อนไขทุกประการอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่รู้ตัว เพราะทำไปตามความพึงใจและสมัครใจ), การเพาะพันธุ์มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นมาเป็นทาสโดยตรง..ไม่มีการล่า (ยุคของซอนมี 451 ..ซึ่งยังถูกใช้เป็นแหล่งอาหารสำหรับอีกพวกหนึ่งอีกด้วย), ทาสของความปรารถนาดีเช่น "ความรักและความศรัทธา" ซึ่งว่ากันว่าผลักดันทุกอย่างให้เป็นไป ..และย้อนไปในภพชาติของการค้าทาส ก็จะมีตัวละคร "อาทัว" (Atua) ทาสผิวดำที่ชี้ให้เห็นว่า เราเป็นทาสโดยสมัครใจ (สะท้อนมาถึงยุคปัจจุบันในโลกความเป็นจริง) กันเพราะเราแสวงหาอิสรภาพให้ชีวิตที่ตกอยู่ใต้ข้อบังคับแห่งยุคสมัย (อารยธรรมมนุษย์โดยรวม - แต่ละยุคจะมีแนวคิดที่เป็นหลักปฏิบัตินิยมของตัวเองไปทั่วโลก, นักจักรวาลวิทยา มักใช้คำว่า "อารยธรรมดาวเคราะห์") ..ซึ่งบางครั้งเพียงแค่หลุดจากสถานะทาสแบบหนึ่ง ไปสู่อีกสถานะทาสหนึ่งเท่านั้น..ที่บีบคั้นน้อยกว่า ..มีอิสรภาพสูงกว่า แต่ก็ยังเป็นทาส ..เช่น สถานะการเป็นแรงงานลูกจ้าง. อย่างในโลกจริง ๆ ปัจจุบันนี้.

ภาพจาก tumblr.com
โลหิตและสีแดง เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตและการเป็นพยานร่วมกัน (รวมเส้นทางชีวิตผูกพันเป็นเนื้อหาเดียวกัน) ซึ่งในหนังถูกนำเสนอบทบาทให้ปรากฏบ่อยครั้งราวกับเป็นตัวละครหนึ่งทีเดียว (อย่างเงียบ ๆ, แน่นอนว่าโลหิตเป็นตัวละครเงียบที่แฝงหมายความตามชื่อเรื่องนั่นเองครับ) จะใช้เป็นสัญลักษณ์ของการเชื้อเชิญทั้งตัวละครและผู้ชม ให้เป็นพยานในสถานการณ์สำคัญ และให้บรรยากาศราวกับจะบีบให้ผู้พบเห็นเหตุการณ์นั้นตกอยู่ในลักษณะ -ต้องสัตย์สาบาน- เลยทีเดียว.         คือราวกับบีบให้ต้องรับว่าสิ่งที่กำลังเห็นนี้คือความจริงที่สุดของ "เหตุ" ในการต้องเดินทางต่อของดวงวิญญาณต่าง ๆ 
ภาพจาก greatdreams.com
ซึ่งอีกสัญลักษณ์ที่ใหญ่และโจ่งแจ้งที่สุดสัญลักษณ์หนึ่งที่แทนการรับรู้เห็น พยานแห่งสัจจธรรมและความรู้แจ้ง คือ "ดวงตาแห่งสวรรค์". ซึ่งปรากฏอยู่บนใบหน้าของตัวละครชื่อ "แซคครี่" (Zachry) ที่แสดงโดยทอม แฮงคส์ (Tom Hanks) ตั้งแต่ฉากเปิดของหนัง ..และกว่านั้น คือบนใบปิดภาพยนตร์เลยทีเดียว
ภาพจาก circumpunct.com
และยังมีสัญลักษณ์ดั้งเดิมของ "พระเจ้า-แบบสากล" ที่โบราณมาก ๆ อย่าง "เซอร์คัมพังท์" (Circumpunct, วงกลมซ้อนกัน) ที่ในทางวิชาการกล่าวกันว่าเป็นสัญลักษณ์แรก ๆ ของสัญลักษณ์แทนพระเจ้าในศาสนาต่าง ๆ ก็ปรากฏบนหน้าผากของตัวละคร "เมโรนีม" (Meronym) แสดงโดยฮัลลี เบอร์รี (Halle Berry) ซึ่งเป็นตัวละครในยุคเดียวกับแซคครี่ และร่วมเดินทางค้นหาความจริงไปด้วยกัน (และเป็นคู่ชีวิตในที่สุด) ซึ่งสัญลักษณ์นี้พบในหลายอารยธรรมใช้แทน "ดวงอาทิตย์หรือสุริยะเทพ" ตัวแทนของพลังแห่งการสร้างสรรพชีวิต, โลกและจักรวาล, ปัญญาและการรู้แจ้ง ..ในศาสนายุคที่ใหม่กว่า จะวาดเป็นวงกลมที่มีรัศมี หรือวงรัศมีบนศีรษะของบุคคลผู้ประกาศหลักธรรมหรือพระศาสดาของศาสนา ..ในวัฒนธรรมป็อป หรือหลังยุคใหม่ (Post-Modern) จะเป็นหลอดไฟ ซึ่งใช้เป็นสัญลักษณ์ของการปรากฏของความคิดสร้างสรรค์นั่นเอง



ภาพจาก drewbyrd.blogspot.com
สัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดคืออาคารหอส่งสัญญาณที่ตั้งอยู่บนยอดเขา ซึ่งจะคาบเกี่ยวกันระหว่างยุคของซอนมี 451 และยุคของแซคครี่ ..แสดงให้เห็นบทบาทของสถานที่แห่งนี้อย่างเป็น "อนัตตา" (ผันแปรตามหน้าที่ ตามเจตจำนงของผู้ใช้) ที่ในครั้งนึงใช้เป็นที่หลบภัยสงคราม และกลายมาเป็นดังวิหารสักการะเทพซอนมีในยุคต่อมา (เป็นสถานที่ที่ซอนมีเคยบันทึกคำประกาศแห่งเจตจำนงของตนเอง อันเป็นผลเชิงธรรมสังเวชจากยุคสมัยของตน) (จริง ๆ ก็ไม่ได้ต่างกับสถานะของโบสถ์วิหารต่าง ๆ ในบรรพกาลทั้งหลายครับ เป็นที่หลบภัยสงครามและเก็บรักษาคำสอนกันแทบทั้งสิ้น) ..อาคารนี้เป็นรูปดอกบัวตูม ซึ่งภาพดอกบัวบานออกปรากฏอีกครั้งในยุคของแซคครี่ ให้ภาพที่มีไดนามิค..คือทรงพลังและยิ่งใหญ่มากพอสมควร เนื่องจากการส่งสัญญาณของตัวละครครั้งนี้จะเป็นการเดินทางครั้งใหญ่ในนามของอารยธรรมดาวเคราะห์ทีเดียว (การย้ายถิ่นฐานไปดาวเคราะห์อื่น) ..โดยที่ร่างกายมนุษย์ยังคงแบกเลือดเนื้อและดวงวิญญาณดังเมฆานี้ ..ไปในทุกหนแห่งตลอดกาล.


ชื่อหนังสือฉบับภ.ไทยของนิยายเรื่องคลาวด์แอตลาสต์ (Cloud Atlas)
ตั้งได้ดีที่สุดครับ คือ "เมฆาสัญจร".
ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่ได้นำมาใช้กับตัวภาพยนตร์ในภ.ไทยครับ





ภาพจาก panoramio.com
พุทธศาสนานิกายมหายาน - สตรีในสถานะพระโพธิสัตว์ - เทพซอนมี ..ดูเหมือนผู้กำกับ/ผู้เขียนบท (พี่น้องวาคอวสกี้ ซึ่งหนึ่งในสองได้อวตารตัวเองใหม่เป็นสตรีเพศเรียบร้อยแล้ว) ตั้งใจสื่อให้เห็นความสัมพันธ์ของสองศาสนาคือ คริสต์และพุทธ และการร่วมกระทั่งหยิบยืมอารยธรรมกันและกันอย่างไม่โจ่งแจ้งในยุคบรรพชนของโลกอย่างชัดเจน เลือกที่จะกล่าวถึงศาสนาพุทธผ่านตัวละครสตรีเพศ ในฐานะอย่างเช่นที่บรรพชนฝั่งตะวันออกเคยทำคือ "พระโพธิสัตว์..ที่เป็นที่รู้จักส่วนใหญ่" (เช่น โพธิสัตว์กวนอิม เป็นต้น.) (เชื่อว่าผู้ชมชาวไทยที่ทราบว่าหนังสร้างจากบทประพันธ์ที่มีแนวคิดจากพุทธศาสนา อาจจะคิดคาดว่าจะได้เห็นสัญลักษณ์ของพระุพุทธองค์ชัดเจนกว่าดอกบัวบ้าง เพราะชาวไทยเรานั้นนิกายหลักคือ "หินยาน" ซึ่งนับถือพระพุทธเจ้าในสถานะมนุษย์ จึงไม่แปลกครับที่หลายท่านอาจคิดคาดอย่างนั้น. เพราะแนวคิดที่มองพระศาสดาในสถานะ "พระโพธิสัตว์" นั้นเป็นของนิกายมหายานนั่นเอง ซึ่งชาวเอเชียในหลายชาติทีเดียวที่นับถือพระโพธิสัตว์ที่เป็นสตรี ..นี่อาจเป็นที่มาของตัวละครซอนมีตั้งแต่ในบทประพันธ์ฉบับนิยายทีเดียวครับ)

*เครื่องประหารซอนมี 451 มีสัญลักษณ์เซอคัมพังท์อยู่ครับ ซึ่งเมื่อสวมลงบนศีรษะจะอยู่ตำแหน่งหน้าผากพอดี อาจสื่อว่าพุทธศาสนานิกายมหายานนั้นมีบริบทที่มีความเป็นสากลอยู่สูง เนื่องจากปรับเปลี่ยนได้ตามยุคสมัยและปรับแต่งให้เข้ากับชุมชนต่าง ๆ อย่างเฉพาะเจาะจงลงไปได้ ..เป็นที่สนใจศึกษากันในวงกว้างถึงความยืดหยุ่นอย่างมากนี้ครับ โดยเฉพาะเรื่องความเท่าเทียมระหว่างสองเพศ เพราะบุคลาธิษฐานของตัวพระศาสดาที่ถูกกล่าวถึงโดยทั่วไปในหลายนิกายย่อย ๆ นั้น มีทั้งสองเพศนั่นเอง จึงมีความเป็นสากลและมนุษยนิยมที่สูงมาก ๆ




ภาพจาก grantland.com
บทเพลง "Cloud Atlas Sextet" ..การเล่านิยายออกมาเป็นภาพยนตร์นั้น สิ่งที่การเล่าแบบหนังสือนิยายไม่มีก็คือ -ดนตรีประกอบ- นี่เองครับ ..ตลอดการชมหนังเรื่องนี้ เราจะได้ยินดนตรีคลอไปตลอด เป็นการเล่าโยงไปถึงบทเพลง "Cloud Atlas Sextet" ซึ่งเป็นเหมือนตัวละครอีกตัวในเรื่อง ซึ่งเป็นผลงานการประพันธ์ของตัวละคร "โรเบิร์ต ฟรอบิเชอร์" (Robert Frobisher) ผู้ซึ่งมีคนรักเป็น "รูฟัส ซิกซ์สมิท" (Rufus Sixsmith) ที่เป็นสัญลักษณ์ของความรัก หรือกิเลสตัณหาซึ่งผลักดัน (มองมุมกลับคือ "ชี้นำ") ดวงวิญญาณของโรเบิร์ตจนกระทั่งให้กำเนิดบทเพลงนี้ออกมา. (คำว่าสมิธ, smith มีความหมายว่า ช่างโลหะ, ช่างหลอมเหล็ก, ช่างตีเหล็ก) ..ซึ่งเล่าเผื่อไปถึง 6 ดวงวิญญาณในภพชาติต่าง ๆ ว่าเวียนว่ายถ่ายโอนกรรมและวาระกันดั่งตัวโน้ตบนเส้นบรรทัดของดนตรี เป็นบทเพลงแห่งการเดินทางข้ามกาลเวลาและจักรวาลของเมฆาผู้สัญจรทั้งหลาย



ภาพจาก eatsleeplivefilm.com


แม้มนุษย์จะปฏิเสธกันและกัน กดขี่ข่มเหงกันสักเท่าไร
หลักการที่มองว่าโลหิตคือสิ่งแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันดังพี่น้องนั้น
ปรากฏชัดบนรูปร่างหน้าตาของมนุษย์ทุกผู้นามในแต่ละสมัย ..เปลี่ยนถ่ายกันไปมา
ปรากฏประกาศชัดอยู่ราวกับเป็น "แผนที่" บอกการเดินทางข้ามกาลเวลาไม่จบสิ้น
ของ "เหล่าเมฆา" ทั้งปวง.




ตัวอย่างภาพยนตร์ Cloud Atlas




.......

2 comments:

  1. วิเคราะห์ได้ลึกมากเลยค่ะ เยี่ยม

    ReplyDelete
  2. I gained new knowledge from well written content of this blog. It is showing some different kind of strategy to keep work better and improve with every new assignment. Gracefully written blogฆอ

    ReplyDelete

..การแสดงความคิดเห็น..
โปรดเคารพสิทธิผู้อื่น..และ "ไม่ละเมิดพรบ.ICT".
(ผู้ละเมิดฯ จะถูกดำเนินคดีตามที่กฏหมายระบุไว้สูงสุด)

- สามารถใช้ได้ทั้ง Google Profile, LiveJournal, Wordpress,
...TypePad, AIM, OpenID
- สามารถเลือก Name/URL เพื่อโพสท์ด้วยชื่อหรือนามแฝงได้ (URL เป็นตัวเลือกเสริม)
- หรือเลือก Anonymous หากท่านไม่ประสงค์จะออกนามครับ